พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก
เขียนโดย ชินพร สุขสถิตย์ อังคาร, 06 มกราคม 2009
http://www.ittiyano.com/index.php?option=com_content&task=view&id=59&Itemid=4
พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก เพื่อแจกผู้ร่วมทอดกฐินสามัคคี ร่วมแผ่พลังสวดพุทธคุณปราบไตรจักร ในวันหล่อ พระกริ่งชินบัญชร รุ่น มหาปราบ
ครั้งแรกที่ผมเข้าไปพบหลวงปู่ทิม อิสริโก ยอดพระเกจิอาจารย์ เมืองระยอง โดยการรบเร้าชักชวนมาเป็นปีๆ ของคุณประชา ตรีพาสัย อดีตนายช่างโยธาของกรมชลประทาน คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ ศิษย์เอกคนหนึ่งของหลวงปู่ทิม ชี้ให้ผมดูครกหินใบเขื่องที่แยกออกเป็นสองเสี่ยงใต้ถุนหอฉันหลังเก่าที่รื้อไปแล้ว คุณเพียรวิทย์บอกว่า ครกหินใบนี้แตกขณะตำผงพรายกุมาร ผมไม่เคยได้ยินคำว่า ผงพรายกุมาร มาก่อนจึงถามคุณเพียรวิทย์ว่า ผงอะไร? คุณเพียรวิทย์ตอบและอธิบายให้ฟังว่าคือ ผงสุดวิเศษที่ทำจากหัวกระโหลกเด็กตายทั้งกลม หรือหัวกระโหลกผีท้องแก่ ที่ลูกตายคาท้องแม่ เมื่อเอามาตำจนใกล้จะละเอียดครกหินที่ใช้ทำก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง!
ครั้งนั้นผมยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก คิดว่าคุณเพียรวิทย์ ฉายหนังให้ดูเสียมากกว่า แม้แต่หลวงปู่ทิม ท่านลงมาเจิมครถยนต์ให้ผมในวันที่พบกันครั้งแรก ท่านเพ่งและเอาสองมือแตะหน้าหม้อรถโฟลต์ รถก็เคลื่อนได้ทั้งๆที่จอดไว้บนพื้นทราย เห็นจะๆอย่างนี้ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่อง “ครกแตก” มันเป็นไปได้อย่างไร? จนเมื่อประมาณกลางๆปี ๒๕๑๘ มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า นายสำเภา อัมฤทธิ์ หรือ นายครอก เอาผงพรายไปสร้างพระขุนแผนตำผงจนเกิดไฟลุกท่วมครก ผมก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเพราะไม่เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ครั้งนี้มีพยานหลายคนมายืนยันว่า เขาเห็นมากับตา และต้องไปนิมนต์หลวงปู่ทิมมาดับไฟลุกครก ตอนนายครอกตำผงทำพระขุนแผน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของปฏิกริยาทางเคมีเมื่อโลหะสองชนิดมากระทบกันแรงๆก็ย่อมทำให้เกิดประกายไฟและเมื่อมีวัสดุไวไฟอยู่ด้วยก็เลยทำให้เกิดไฟลุกในครกได้
เรื่องนายครอกตำผงพรายแล้วไฟลุกในครกนี้ ผมเคยให้นายครอก มาเล่าให้คุณนิลนารถและคุณพรชัย ร้านเซี้ยโภชนา ฟังก่อนที่เขาจะร่วมกันทำหนังสือเล่มแรก นายครอกเล่าให้ฟังข้างวิหารรูปหล่อหลวงปู่ทิมว่า เมื่อหลวงปู่ทิมและกรรมการวัดละหารไร่ จ้างให้นายครอกทำพระขุนแผนพรายกุมาร องค์ละ ๑ บาท บอกสูตรในการผสมผงแล้วก็ให้ผงพรายมาค่อนกระป๋องนมข้น บอกว่าเมื่อตำผงได้ที่ไม่ติดมือแล้วให้ตักผงพรายกุมารผสมลงไป ๑ ช้อนแกง นายครอกเล่าว่าเมื่อเอาผงพรายที่หลวงปู่ทิมให้มาใส่ครกตำได้ประเดี๋ยวเดียวก็เกิดไฟลุกในครก จะทำอย่างไรก็ไม่ดับเปลวไฟที่ลุกเป็นสีออกเขียวคล้ายไฟอ๊อก..ร้อนมาก เมื่อหมดปัญญาที่จะดับ นายครอกก็ให้นายแดง ลูกชายหลวงลุงรอด (ขรัวรองจากหลวงปู่ทิม) ขับรถโตโยต้าไปรับหลวงปู่ทิมมาดับไฟ
เมื่อหลวงปู่ทิมมาถึงก็เอามือลูบเหนือครก ไฟก็ดับสนิท แต่ผงกลายเป็นถ่านดำหมดทั้งครก แล้วหลวงปู่บอกให้เก็บผงนี้ไว้ เอาไว้ผสมกับผงที่จะทำพระขุนแผนในครกต่างๆต่อไป ครั้งผมมาเขียนเรื่องพระขุนแผนพรายกุมารอันลือลั่นของหลวงปู่ทิม ผมก็ได้เอาเรื่องเหล่านี้เขียนเล่าลงไปด้วย และก็เกิดความเชื่อว่า เรื่องครกแตกออกเป็นสองเสี่ยงก็ดี ไฟลุกขณะนายครอกตำผงพรายก็ดี คงเป็นเรื่องจริงเพราะมีผู้เห็นกันหลายคน ถ้าจะเรียกว่าเล่าลือกันไปทั้งหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆวัดละหารไร่ก็คงจะไม่ผิด แต่เสียดายอยู่อย่างเดียวที่ผมไม่ได้ถ่ายภาพครกที่แตกออกเป็นสองเสี่ยงไว้ทั้งๆที่มีกล้องถ่ายรูปอยู่ในมือ
จนเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๖ ซึ่งเป็นวันดีของปีผมจึงถือเอาวันนี้เป็นวันเริ่มต้นในการสร้างพระขุนแผนพรายกุมารที่จะแจกเป็นของขวัญ หรือของสมนาคุณแก่ผู้ที่ร่วมทำบุญกับผมในการหาปัจจัยไปทอดกฐินสามัคคี ที่วัดพงเสลี่ยง บ้านห้วยโป้ ตำบลแม่สิน อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เมื่อผมเอาผงพุทธคุณต่างๆพร้อมผงพรายกุมารที่ พระทอง สุขวงศ์จันทร์ และลุงแมง มอบให้มาตำเป็นครกแรก พอผงเริ่มละเอียดพอที่จะนำมากดเป็นพระได้ สากหินก็หักทันที! ผมขนลุกซู่ทั้งตัว หลวงปู่ทิมคงสำแดงอะไรบางอย่างเป็นสัญญาณบอกว่า พระขุนแผนรุ่นนี้ต้องขลังและศักดิ์สิทธิ์แน่นอน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ผมเห็นหรือผมทำคนเดียว มีผู้ร่วมเห็นอยู่ ๓ คน คือ ผม, คุณมานิดา ภรรยาผม, และคุณนพดล ช่างโยธา ซี ๔ สำนักระบายน้ำของกทม. รวมอยู่ในพิธีตำผงวันนั้นด้วย พระขุนแผนพรายกุมารทั้งพิมพ์เล็ก, พิมพ์ใหญ่ ที่จะทำขึ้นสมนาคุณแก่ผู้ร่วมทอดกฐินครั้งนี้ เป็นหนึ่งในตระกูลผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม น่าจะได้ชื่อว่า
พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก พระขุนแผนพรายกุมารรุ่นที่เริ่มผงครกแรกแล้วสากหินที่เอามาตำผงเกิดหักขึ้นมา คงจะเป็นไปตามอาถรรพ์ของการสร้างผงพรายกุมารตามตำรับของหลวงปู่ทิม ที่เป็นมาแล้วถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกพอเริ่มตำผงพรายครกหินขนาดใหญ่ที่ใช้ตำก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง, ครั้งที่สอง หลวงปู่ทิมให้นายครอก อัมฤทธิ์เอาไปทำที่บ้านพอตำผงได้ที่ไฟก็ลุกขึ้นในครก และครั้งที่ ๓ เกิดที่บ้านผมหรือสำนักงานมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ในซอยเฉลิมสุข เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พอผงพรายกุมารที่ตำกำลังจะได้ที่สากหินที่ตำก็หักเป็นสองท่อน ก็คงเป็นเครื่องสำแดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการสร้างพระขุนแผนในครั้งนี้เป็นแน่ เพราะก่อนจะสร้างพระขุนแผนรุ่นนี้ทั้งผมและลุงแมงต่างก็บอกกล่าวกับรูปหล่อหลวงปู่ทิม ทุกครั้งก็สวดมนต์ไหว้พระเพื่อขอให้บังเกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ดุจเดียวกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิต เพราะเราจะเอาพระขุนแผนพรายกุมารชุดนี้ไปทำบุญทำกุศล แจกแก่ผู้ร่วมทำบุญทอดกฐิน ณ วัดพงเสลี่ยง บ้านห้วยโป้ สุโขทัยในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๖ และขอให้พระขุนแผนพรายกุมารที่ทำขึ้นมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก ที่ทำขึ้นครั้งนี้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นการสร้างที่มีวัตถุมงคลมากที่สุดเท่าที่ได้เคยสร้างกันมาหลังจากหลวงปู่ทิม มรณะภาพแล้วก็เห็นจะไม่ผิด
ลุงแมง อัมฤทธิ์ บุตรบุญธรรมหลวงปู่ทิม ซึ่งท่านตั้งชื่อให้ว่า นายสิงหราช อัมฤทธิ์ และเป็นผู้ที่หลวงปู่ทิมมอบหมายให้สร้างพระขุนแผนพรายกุมารให้ท่านเป็นคนแรก (ขุนแผนลองพิมพ์) อีกทั้งเป็นผู้ที่หลวงปู่ทิมใช้ให้ไปขุดโคกดินใต้ถุนศาลาภาวนาภิรัต เพื่อเอาน้ำมันพระเจ้าตากมาสร้างพระขุนแผนนั้นคงเป็นเพราะลุงแมงมีชื่อเป็นมหาอำนาจ ลุงแมงย้ายจากระยองไปอยู่สุโขทัยแล้วลงทุนซื้อไร่ปลูกส้มเขียวหวานออกจำหน่าย แกเห็นศาลาเอนกประสงค์ของวัดพงเสลี่ยงซึ่งใช้เป็นที่ประชุมชาวบ้านอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ก็เลยมาปรึกษากับผมเพื่อขอให้ผมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินในปีนี้ เพื่อนำปัจจัยที่จะได้มาสร้างศาลาให้วัดพงเสลี่ยง ผมก็รับปากและบอกว่าจะแจ้งข่าวบอกบุญไปยังบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ทิม ให้ช่วยกันเป็นเจ้าภาพเพื่อสร้างศาลา โดยให้ชื่อว่า “ศาลาศิษย์หลวงปู่ทิม ร่วมใจ”
เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของผู้ร่วมงานจึงคิดสร้างพระขุนแผนพรายกุมารเอาไว้แจกผู้ร่วมทำบุญ ลุงแมงและพระทอง สุขวงศ์จันทร์ ซึ่งทั้งสองคนเคยรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ทิม โดยทั้งสองคนได้มอบผงพรายกุมารชนิดบริสุทธิ์ (เพียวๆ) หรือชนิดเข้มข้นที่ทั้งคู่เก็บไว้ครั้งสร้างพระขุนแผนให้หลวงปู่ แก่ผมหนึ่งขวดเนสกาแฟขนาดเล็ก แกบบอกว่าเก็บไว้ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อ (หมายถึงหลวงปู่ทิม) ไม่กล้าเอาออกมาทำพระเพราะเกรงใจพระอาจารย์เชยเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ เลยตัดสินใจมอบให้ผมเพื่อให้เอามาทำพระขุนแผนแจกงานกฐินในครั้งนี้
นอกจากนั้นลุงแมงยังไปแสวงหาว่านมงคลต่างๆตามตำราสร้างพระผงของหลวงปู่ทิมมาให้ผมอีกหลายชนิด สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ลุงแมงไปเสาะแสวงหามาให้ผมก็คือ ไม้หลงลืม หรือเถาวัลย์หลง เมื่อผมไปเยียนลุงแมงที่บ้านห้วยโป้ ภรรยาลุงแมงบอกกับผมว่า “พี่แมงอุตสาห์ไปหาไม้หลงลืม เอามาให้ผมทำพระขุนแผน ไปหาอยู่นานโขจึงจะได้” นอกจากวัตถุมงคลต่างๆแล้ว ทิดเย็น คำมี หรืออดีตหลวงพี่เย็น ซึ่งเคยช่วยหลวงปู่ทิมสร้างพระเครื่อง, ลงเลขยันต์ ตลอดจนการทำสีผึ้งก็ได้บอกเคล็ดลับต่างๆในวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ทิมแก่ผมด้วย บางคนก็นำผง และของอาถรรพ์ต่างๆมาให้ด้วย คุณอุกฤษ ดุลย์เกษม หัวหน้าไปรษณีย์ นำพระผงรูปหล่อขนาดใหญ่พิเศษหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ซึ่งสร้างขึ้นเพียง ๓ องค์ มาให้ผมตำผสมลงไปในเนื้อพระขุนแผน ลูกศิษย์สายตรงของหลวงพ่อพรหมเห็นพระผงรูปเหมือนองค์นี้แล้ว บอกให้ผมเก็บเอาไว้เพราะหายากมากทำจากผงล้วนๆของหลวงพ่อพรหม มีเพียง ๓ องค์เท่านั้น แต่ผมก็ได้นำไปป่นใส่ลงในเนื้อพระขุนแผนรุ่นสากหัก ทิดเย็น คำมีได้แนะนำให้ใส่วัสดุอาถรรพ์ต่างๆเหมือนครั้งที่หลวงปู่ทิมสร้างพระขุนแผน ซึ่งผมก็ทำตามทุกอย่าง
แทบจะกล่าวได้ว่าพระขุนแผนพรายกุมารรุ่นสากหักนี้ มีผงพรายกุมาร และผงวิเศษต่างๆ ของหลวงปู่ทิม บรรจุมากที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมาผมลงมือตำผง กดพิมพ์สร้างพระขุนแผนได้ประมาณพันกว่าองค์ก็ทำต่อไปไม่ไหว คุณชาลี เอี่ยมฉลวย ศิษย์เอกของหลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ ราชบุรี และหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม เลยรับอาสาเอาไปทำต่อให้เพราะจะทำเป็นพุทธบูชาถวายหลวงปู่ทิม ก่อนจะรับอาสาทำให้ คุณชาลีเล่าว่า ฝันเห็นหลวงปู่ทิมมาหาแล้วยื่นกระดาษสารพัดกันสีชมพูให้พร้อมกับแผ่นทองคำอีก ๑ แผ่น ทั้งสองสิ่งเข้าไปในตัวของคุณชาลี พอคุณชาลีเริ่มทำพระขุนแผนก็เกิดอาการเนื้อด้านหลังเต้นตุ๊บๆ จนเกิดความรำคาญ ไม่ว่าคุณชาลีจะเอาไม้เอามีดมาเกาหรือแม้แต่เอามีคมๆมาสับเนื้อด้านหลังก็ยังไม่หายเต้น คุณชาลีเลยไปเปิดเสื้อให้พระอาจารย์เปีย ศิษย์สายอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ผู้เป็นอาจารย์สักดูแผ่นหลัง ปรากฎว่า ด้านหลังนูนขึ้นมาเป็นรูปหงษ์ทองคู่ และรูปหนุมาน คุณชาลี เอี่ยมฉลวย ทนทุกข์เพราะหนังเต้นอยู่ได้ ๒ วัน พ่อแก่ครูฤาษีที่คุณชาลีนับถือบอกว่า ครูมาลง เพราะทำพระขุนแผนให้เอาหมากพลูมาเคี้ยวแล้วเอาน้ำหมากมาลูบหลัง อาการเนื้อเต้นก็จะค่อยๆหายไป คุณชาลีบอกว่ เหตุที่เป็นดังนี้เพราะหลวงปู่ทิมคงต้องการแสดงให้รู้ว่าพระขุนแผนชุดนี้ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
พระขุนแผนสากหักนี้ หลวงปู่ธรรมรังษี เมตตาปลุกเสกให้ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๖ และแจกเป็นของสมนาคุณแก่ผู้ร่วมงานกฐินวัดพงเสลี่ยง สุโขทัยไปบ้าง แล้วนำพระขุนแผนที่เหลือไปเข้าพิธีเททองหล่อพระกริ่งชินบัญชรมหาปราบ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๖ อีกครั้ง พระขุนแผนพรายกุมารรุ่นสากหักสร้างขึ้น ๒ พิมพ์ คือพิมพ์ใหญ่ และพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่สร้างเพียง ๕, ๕๕๕ องค์, พิมพ์เล็กสร้างเพียง ๖, ๙๙๖ องค์ มี ๓ สีคือ สีดำ, แดง, และขาว พิมพ์ใหญ่มีชนิดฝั่งตะกรุดทองคำ ๙๖ องค์, ตะกรุดเงิน ๒๕๖ องค์, และตะกรุดทองแดง ๓๕๖ องค์, และพิเศษบรรจุขุนพลจิ๋วปี๒๕๔๔, หรือบรรจุปรกใบมะขามหลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่, บรรจุทับทิมเสก - พลอยเสก
ตะกรุดสาริกาทั้งทองคำ, เงิน, และทองแดง คุณชาลี เอี่ยมฉลวย เป็นผู้จารตามตำราและเคล็ดลับของหลวงปู่ทิม อิสริโก แล้วถวายให้หลวงพ่อผล ทายาทของหลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู ลพบุรี ปลุกเสก, ส่วนขุนพลจิ๋วปลุกเสกในน้ำมันเหล็กไหล-น้ำมันพราย พิธีที่วัดละหารไร่เมื่อปี๒๕๔๔ โดยหลวงพ่อสาคร
ผู้ที่รับแจกขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่น สากหัก ไปหลายท่านได้นำออกใช้ทันที เพราะเชื่อว่านอกจากหลวงปู่ธรรมรังษีจะปลุกเสกแล้ว หลวงปู่ทิม ต้องลงมาทำให้อย่างแน่นอนอีกครั้ง ดังจะเห็นได้จากพิธีเททองพระกริ่งชินบัญชร มหาปราบ ที่เกิดความมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อมาแล้ว พระคุณเจ้าองค์หนึ่งที่จังหวัดสระบุรี มาขอไปแจกกฐิน ท่านเล่าให้คุณไพโรจน์ ซื่อชัยเจริญ แห่งเกษมสุขหินอ่อนฟังว่า เมื่อเก็บไว้ในกุฏิ นิมิตเห็นสีกามาหาเต็มกุฏิไปหมด เลยเอาไปฝากที่พระภิกษุอีกรูปหนึ่งซึ่งก็นิมิตเช่นเดียวกันอีก หลายคนที่นำเอาไปใช้เพราะเชื่อว่าหลวงปู่ทิม ต้องมาปลุกเสกให้ เล่าว่า คนไม่ถูกกันมานานก็มาพูดด้วย บางรายก็มีสาวๆมาแซวอย่างไม่เคยมีมาก่อน อีกรายบอกว่าเมื่อเอาขึ้นคอแล้วก็นึกถึงแฟนเก่าๆก็โทรมาหา
นอกจากพระขุนแผนแล้วยังได้สร้างพระผงและเหรียญมหาปราบขึ้นด้วย เหรียญและพระผงมหาปราบสร้างเป็นรูป เจ้าแม่เทวดา หรือ เจ้าแม่กาลี กำลังแสดงฤทธิ์ปราบพญามารอย่างเกรียวกราด ดุร้าย จนร้อนถึงพระอิศวรต้องจำแลงเป็นพญาจระเข้ มารองรับการกระทืบพญามารให้จมธรณี เพื่อป้องกันโลกไม่ให้ถล่มทะลาย หรือเรียกอีกอย่างว่า “ พระไวโรจรน์พุทธเจ้า (ตามความลัทธิมหายาน) นิมิตพระองค์เป็ฯพญามารให้ใหญ่กว่าพญามารที่จะมาทำลายโลก และด้านหลังเป็น รูปพระพุทธเจ้าพร้อมอักขระอันศักดิ์สิทธิ์ของธิเบต เหรียญและพระผงมหาปราบนี้ใส่ห่อร่วมให้หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกพร้อม ล็อกเก็ตรูปมหาอุดของหลวงปู่ทิมซึ่งเป็นภาพหลวงปู่ทิม นั่งในท่ามหาอุด คืออุดทั้งมือและเท้าเป็นภาพที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกแล้วได้มอบเหรียญมหาปราบแก่ผู้ที่อยู่ในพิธีไปคนละ ๕-๖ เหรียญ นายกี่ หลุมทอง ชาวบ้านลุงปุงได้รับไป ๕ เหรียญ ได้โทรมาเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้นว่าให้หลานชายเอาติดตัวไปเลี้ยงวัด หลานชายเอาไปลองยิงด้วยปืนแก๊ปปรากฏว่า ปืนไม่ลั่นถึง ๔ นัดทั้งที่ชนวนตีแก๊ปแตกเป็นประกายไฟ แต่ไฟไม่ติดดินปืนที่อัดไว้ แต่เมื่อเอาเหรียญออกแล้วลองยิงใหม่ ปืนก็ลั่น!
ก่อนที่จะรู้จักหลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน จังหวัดสุรินทร์ ครูที่อำเภอท่าตูม สุรินทร์มาขอผงพรายกุมารจากผม ไปบรรจุล็อกเก็ตของหลวงปู่ธรรมรังษีซึ่งภายหลังตั้งชื่อว่า ล็อกเก็ตมหาเศรษฐี เพราะผู้ที่บูชาล็อกเก็ตรุ่นนี้ไปถูกล็อกเก็ตรุ่นนี้ไป ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่๑ และรางวัลข้างเคียงถึง ๓ ราย เรียกว่างวดนั้นรางวัลที่๑ ตกอยู่กับคนท่าตูมที่ได้บูชาล็อกเก็ตหลวงปู่ธรรมรังษีทั้งหมด ครูซี๗ วิชัย มาลีหวล เล่าให้ฟังว่า เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกล็อกเก็ต รุ่นมหาเศรษฐีที่บรรจุผงพรายกุมารเสร็จแล้ว ของที่ปลุกเสกยังคงอยู่พระอุโบสถ ครูวิชัย และอีกหลายคนที่เฝ้าของ ปรารภว่าอยากดูอิทธิฤทธิ์ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ที่หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกว่า จะมีอิทธิฤทธิ์สักแค่ไหน? ทันใดนั้นก็มีลมพัดมาแรงขึ้นและแรงขึ้นๆ จนดานลั่นประตูและหน้าต่างโบสถ์หลุดออก ลมพัดอู้เข้ามาในโบสถ์พวกครูวิชัยตกตะลึงหมด พอรุ่งขึ้นเช้าก็มีฝูงผีเสื้อบินทักษิณาวัตรรอบๆโบสถ์นับหมื่นๆตัว ล็อกเก็ตชุดนี้เลยถูกเช่าบูชาไปหมด ทุกคนที่เห็นและรู้เหตุการณ์ถึงกับเชื่อถือผงพรายกุมารที่คุณชินพรมอบให้ไปตามๆกัน
เมื่อผมได้รับการขอร้องให้ไปทอดกฐินตกค้างที่วัดเขาลอย อำเภอบ้านค่าย ระยอง จึงได้สร้างเสือ ๕๐๐ และ ปรกใบมะขามหลังเรียบ ขึ้นอย่างรีบด่วนเพราะมีระยะเวลาเพียง ๒๐ วัน เสร็จแล้วนำไปขอบารมีหลวงปู่ธรรมรังษี เมื่อท่านปลุกเสกเสร็จแล้วท่านพูดว่า ผงของเขาแรงดี จึงมีพลังมาก ปลุกเสกเสร็จแล้วเป็นรูปเป็นนามง่าย และเสือรุ่นนี้ก็โด่งดังมีประสบการณ์มากมาย ช่วยแท๊กซี่รอดจากการถูกจี้, ช่วยให้เด็กสาวรอดจากการถูกปลุกปล้ำ, จ่าปปส.ถูกยิงถึง ๔ นัดไม่ออก อดีตรองผู้การปปส.เล่าให้ฟัง ทั้งยังให้โชคเป็นแสนแก่ผู้นำไปขอโชค, โรงงานขวดพลาสติกขนาดใหญ่ รปภ. สไตท์ลาออกพร้อมกัน เจ้าของเอาเสือไปเฝ้าประตูป้องกันขโมยได้, หมอหนุ่มระดับ ดร.ตรวจพลังบอกแรงเหมือนเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยและมีชีวิตชีวา ขอบูชา ๑๐๐ ตัว แต่ให้ไปเพียง ๕๐ ตัว เมื่อนายแพทยท่านนี้สร้างหมูมหาโชคร่วมกับเพื่อนเพื่อนำรายได้ไปช่วยเด็กๆในภาคกลาง ไปตระเวนปลุกเสกแล้วร่วม ๑๐ องค์จึงนำไปขอให้หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกเป็นองค์ที่ ๑๑ โดยตั้งใจว่าจะปลุกเสกให้ได้ครบ ๑๖ องค์ เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกให้แล้วก็กลับกรุงเทพฯมาถึงดึก จึงยังไม่เอาวัตถุมงคลหมูขึ้นตึก พอรุ่งเช้าลงมาที่รถ เจ้าหน้าที่ รปภ.ถึงกับถามว่าลูกหมูที่ขัวเอาไว้ในรถเมื่อคืนนี้ไปไหนแล้ว
ดร.ท่านนี้แนะนำคุณชินพรว่า นานๆจะพบพระอภิญญาสูงๆ อย่างหลวงปู่ธรรมรังษี สักองค์หนึ่ง น่าจะสร้างพระกริ่งโพชฌงค์ขึ้นสักครั้ง ถ้าหากเกิดมีโรคประหลาดพิศดารขึ้นมาแล้วแพทย์ปัจจุบันยังหาสาเหตุไม่พบ จะได้เอาพระกริ่งโพชฌงค์มาทำน้ำพุทธมนต์รักษาได้ และหลังจากนั้นก็เกิดโรคประหลาดขึ้นดังเช่น โรคเอดส์และ โรคซาส์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังหาสาเหตุและวิธีรักษาไม่พบ ถ้าหากได้สร้างพระกริ่งโพชฌงค์ไว้ก็อาจจะใช้อำนาจพุทธคุณช่วยได้ คุณชินพร ก็เลยเอาคติเรื่องนี้มาจัดสร้างพระกริ่งสัตตะโพชฌงค์ขึ้นในพิธีชินบัญชร รุ่นมหาปราบด้วย โดยสร้างเป็นพระพุทธนั่งประทับบนฐานปูปลาให้แปลกแตกต่างไปจากพระกริ่งที่เคยสร้างกันมาแล้ว พร้อมทั้งลงอักษรพระพุทธปริตรมหาโพชฌงค์ ซึ่งเป็นพุทธมนต์ที่เมื่อพระสงฆ์หรือแม้แต่พระพุทธองค์อาพาธ (ป่วย) ก็จะให้สวดโพชฌงค์ปริตรถวาย อาการเจ็บป่วยก็หาย! เมื่อสมัยพุทธกาลเกิดโรคห่าระบาดหนักในนครเวสาลี ผู้คนล้มตายมากมาย พระพุทธเจ้านำพระสงฆ์ไปยังนครเวสาลีและสวดโพชฌงค์พระปริตร ฝนได้ตกลงมาชะล้างสิ่งสกปรกและโรคห่าก็ระงับ
เมื่อคราวเจริญมนต์ในพิธีสัตตะมาวาสถวายหลวงปู่ทิมก็อาราธนาให้พระสงฆ์ทุกรูปสวดโพชฌงค์พระปริตรด้วยหลายๆจบ โดยโยงสายสิญจน์ไปยังพิธีกรรมทั้งขอให้พระคุณเจ้าทั้ง ๔ รูป สวดบรรจุพระคาถาโพชฌงค์ลงในพิธีด้วย พระกริ่งโพชฌงค์สร้าง ๒ พิมพ์คือพิมพ์หน้าไทยเนื้อสัมฤทธิ์ (ผสมชนวนรูปหล่อองค์แรกของหลวงปู่ทิมซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหาร) จำนวน ๘๔๐ องค์ ก้นบรรจุพุทธคุณผสมกรามช้างน้ำที่หลวงปู่ทิมปลุกเสกแจกให้ลูกศิษย์ไว้ใช้ติดตัวรักษาโรคและกันยาเบื่อยาเมา กันยาพิษต่างๆ, อีกพิมพ์หนึ่งคือหน้าพระกริ่งชินบัญชรหรือหน้าจีน เนื้อนวะโลหะ จำนวน ๑,๗๘๐ องค์ ก้นบรรจุผงเดียวกันและปิดก้นด้วยแผ่นทองแดง ลงหัวใจโพชฌงค์ “สะถะวิปิปะสะอุ...” ไว้ด้วย หัวใจโพชฌงค์นี้องค์หลวงปู่ทิมเคยบอกให้ทำเป็นแหวน แล้วจะปลุกเสกให้เพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บทั้งเป็นเมตตามหานิยมและแคล้วคลาด การสร้างพระกริ่งชินบัญชรสัตตะโพชฌงค์ครั้งนี้จึงเป็นห้วงให้หลวงปู่ทิมปลุกเสกให้ตามที่เคยสั่งไว้
โดยพระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก ที่เหลือจากแรกแจกกฐินออกไป ได้นำเข้าปลุกเสกในพิธีเททองพระกริ่งชินบัญชรมหาปราบ ณ วัดละหารไร่ ระยอง ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๖, และนำขึ้นไปทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ วัดตาอี จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมพุทธาภิเษกรูปหล่อพระเจ้าสุริยชัยวรมันซึ่งหลวงพ่อชื่น วัดตาอี สร้างขึ้น โดยมีพระที่แก่กล้าวิทยาคมอย่างเอกอุ ๓ องค์ร่วมปลุกเสก คือ หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด จิตแก่กล้าถึงขนาดเรียกนก เรียกปลาได้, หลวงพ่อชื่น วัดตาอี ยอดเกจิสายเขมรต่ำผู้เชี่ยวชาญทางวิชาเชมรโบราณ และ หลวงพ่อธีร เทพเจ้าแห่งลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ มีตบะเดชะกระแสจิตกล้า ภายในบริสุทธิ์เป็นแก้ว เกศาที่ปลงไว้ขดกันเป็นก้อนคล้ายก้นหอย ท่านมีสมญานาม อีกอย่างว่า หลวงพ่อย่ามบิน
และเมื่อพระจันทร์เต็มดวงโคจรมาอยู่ตรงประตูพระอุโบสถวัดตาอี ก็ได้อาราธนา หลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน มาปลุกเสกเดี่ยวเป็นองค์สุดท้ายในเทวีฤกษ์ ฤกษ์เดียวกับการสร้างพระกริ่งชินบัญชรเมื่อ ๓๔ ปีมาแล้ว พร้อมทั้งอาราธนาอัญเชิญ หลวงปู่ทิม อิสริโก มาร่วมพิธีปลุกเสกเดี่ยวของธรรมรังษีด้วย
|