ประวัติหลวงพ่อทิม อิสริโก 龙普添的简历 Lp tim watlaharnrai

ประวัติหลวงพ่อทิม อิสริโก

วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง

เรียบเรียงจาก http://members.tripod.com/~sidelook/gods/gods1.htm

และ http://www.osomchit.com/Resume/PuTim.html

 หลวงปู่ทิม นามเดิมชื่อทิม นามสกุลงามศรี เกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ ๒ ตำบลละหารไร่ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันเป็นชายทั้ง
 ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ เกิดเมื่อ ปีมะแม วันศุกร์ เดือน ๗
 ตรงกับวันที่ ๑๖ เดือน มิถุนายน ๒๔๒๒ เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์ งามศรี

หลวงปู่ทิมเป็นหลานของหลวงปู่สังข์ โดยมารดาของท่านเป็นน้องสาวหลวงปู่สังข์ หลวงปู่สังข์นี้เป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น
 หลวงปู่สังข์องค์นี้เป็นผู้ก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น เป็นพระที่เรืองวิทยาอาคมมาก น้ำลายที่ท่านถมถ้าถูกพื้น ๆ จะแตก เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้า
ในวิทยาอาคมของท่าน จึงนิมนต์มาอยู่ที่วัดเก๋งจีน และได้สร้างพระเนื้อตะกั่ววัดเก๋งจีนขึ้น ก่อนที่จะไปอยู่วัดเก๋งจีนนั้น หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งตำราและ
วิทยาการต่าง ๆ ไว้ที่วัดละหารไร่ทั้งหมด เพราะท่านไม่หวงแหนในวิชาของท่านแต่อย่างใด ท่านกล่าวว่า "ใครมีปัญญาก็ค้นคว้าเอาเอง" บรรดาตำราและ
วิทยาการต่าง ๆ หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งไว้ที่วัดละหารไร่นี้เองที่หลวงปู่ทิมก็ได้ใช้ศึกษาในเวลาต่อมา

 เมื่อท่านพระครูภาวนาภิรัติหรือหลวงพ่อทิม มีอายุเจริญวัยได้ ๑๗ ปี นายแจ้ผู้เป็นบิดาได้ส่งเสียและนำตัวของหลวงปู่ทิมไปฝากไว้กับท่านพ่อสิงห์ ที่วัด
ได้เล่าเรียนหนังสือกับท่านพ่อสิงห์พระอาจารย์เป็นเวลาประมาณ ๑ ปี และมีความสามารถเรียนรู้จนเข้าใจเขียนได้อ่านออกดีแล้ว นายแจ้ผู้เป็นบิดา
ของท่านจึงได้ไปกราบนมัสการท่านพ่อสิงห์ขอตัวหลวงปู่ทิมให้กลับมาอยู่ที่บ้านเช่นเดิมเพราะไม่มีคนช่วย หลวงปู่ทิมจึงได้ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่
ทำงานและหาเลี้ยงพ่อแม่ตามวิสัยลูกที่ดี ผู้มีความกตัญญูกตเวที รู้จักปฏิบัติพ่อแม่มาด้วยดีตลอด

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                 

                 

 

 

 

ในวัยหนุ่มของหลวงปู่ทิมนั้น ท่านเป็นคนคะนองเอาการอยู่ โดยท่านจะเป็นคนไปหาอาหารมา

เลี้ยงครอบครัวด้วยการยิงนกตกปลาและออกเที่ยวล่าสัตว์ใหญ่ เพื่อนำไปขาย ซึ่งท่านทำไป

ด้วยความคึกคะนองประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวของท่าน

จนเมื่อท่านอายุได้ ๑๙ ปี ท่านจึงถูกคัดเลือกเป็นทหารและได้เข้าประจำการที่กรุงเทพฯ

เป็นเวลาถึง๔ ปีเศษ จึงได้รับการปลดปล่อยกลับมาอยู่ที่บ้านตามเดิม และเมื่อกลับมาอยู่บ้าน

ได้ไม่นาน บิดาของท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ

อุปสมบท

หลวงปู่ทิมอุปสมบท เมื่อวันที่ ๗ เดือนมิถุนายน ๒๔๔๙ ตรงกับวันเสาร์

ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม โดยมีพระคุณเจ้าท่านพระครูขาว วัดทับมาเป็นพระอุปัชฌายะ

พระอาจารย์เกตุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สิงห์ (พระอาจารย์ของท่าน

ในขณะที่ท่านได้ศึกษาครั้งแรก) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ณ พัทธสีมา วัดละหารไร่

ได้ฉายาว่า อิสริโก เมื่อท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้วท่านก็มาอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์สิงห์

ได้ ๑ พรรษา ขณะที่ท่านอยู่กับพระอาจารย์สิงห์นั้น ท่านได้ค้นคว้าและศึกษาตำราของ

หลวงปู่สังข์ทีท่านได้ทิ้งไว้ให้ตามตู้พระไตรปิฎกอย่างตั้งใจ เพราะท่านมีความสนใจ

ในทางปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง

หลวงปู่ทิม อิสริโก นับว่าเป็นพระอาจารย์ทีแปลกกว่าพระอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน คือ ท่านต้องการฝึกฝนตนเองด้วยการออกไปหาประสบการณ์
ด้วยการออกเดินธุดงค์ ซึ่งพระในรุ่นเดียวกันไม่มีใครคิดที่จะออกไปแสวงหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรอย่างท่าน เพราะต้องการศึกษาในทาง

พระปริยัติธรรมเท่านั้น

เมื่ออยู่ครบพรรษาแล้วท่านก็ได้ขออนุญาตและมนัสการกราบลาอาจารย์ออ

ธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นท่านก็มาพิจารณาว่า ท่านก็ได้ใช้เวลานานพอสมควรแล้ว จึงควรเดินทางกลับมาพักเสียที เมื่อคิดดังนั้น
 ท่านก็เดินทางกลับมาจังหวัดชลบุรีและท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูมเป็นเวลา 2 พรรษา ระหว่างนั้นท่านก็ได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์
หลายอาจารย์ด้วยกันรวมทั้งฆราวาส โยมเริ่ม โยมรอด และโยมสาย นอกจากนั้นยังศึกษาตำราซึ่งตกทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า เจ้าอาวาสวัดเก๋งจีน
ซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของหลวงปู่ทิม

เป็นเวลา 2 ปี เศษ และต่อมาท่านจึงกลับมาอยู่ที่วัดละหารไร่หรือ (วัดไร่วารี

ตามเดิมและท่านได้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์และอื่น ๆ อีกหลายอาจารย์ด้วยกัน

วัดละหารไร่ เดิมชื่อวัดไร่วารี เพราะมีน้ำอยู่ล้อมรอบ และเป็นที่กันดารมาก ถ้าใครได้หลงเข้าไป เป็นได้หลงป่าไปเลย ซึ่งแม้แต่หลวงปู่เองท่านยัง
ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปอยู่ ในสมัยนั้นทางรถก็ยังไม่มี จะมีก็แต่ทางเดินแคบ ๆ เท่านั้น หลวงปู่ท่านจึงต้องพัฒนากันใหญ่ ด้วยความร่วมมือจากญาติ
โยมในท้องถิ่นนั้น คือได้มีชาวบ้านศรัทธาท่านมากถึงกับบวชเพื่อติดตามปรนนิบัติท่านถึง ๓ คน คือ นายทัต นายเปี่ยม และ
นายแหยม ซึ่งทั้ง ๓ คนนี้มีความสนใจในวิชาทางศาสนาเป็นอย่างมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อหลวงปู่ทิมมาอยู่วัดละหารไร่แล้ว ต่อมาคณะสงฆ์ได้มอบหมายให้ท่านเป็น พระอธิการทิม อิสริโก เจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ท่านได้ก่อสร้าง
เสนาสนะ บูรณะซ่อมแซมกุฏิ และอื่น ๆ อีกหลายอย่างพร้อมด้วยญาติโยมทั้งหลายก็มีความเลื่อมใสต่อท่านมาก เพราะท่านเป็นพระที่เคร่ง
ในธรรมะและวินัยเป็นที่น่าเคารพมาก ต่อมาท่านจึงชักชวนบ้านและญาติโยมทั้งหลายได้ก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น 1 หลัง ประมาณ 1 ปีเศษ
 ก็แล้วเสร็จและผูกพัทธสีมาเรียบร้อยในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น และในปี พ.ศ. ๒๔๘๓  หลวงพ่อทิมได้จัดให้มีการเปิดโรงเรียนขึ้นอ
ย่างเป็นทางการ เพื่อสอนกุลบุตรกุลธิดาของประชาชน โดยใช้ศาลาการเปรียญเป็นสถานที่สอน ต่อมาชาวบ้านเห็นดีด้วยกับการศึกษาจึงร่วม
มือกับหลวงพ่อสร้างอาคารเรียนขึ้น ๑ หลัง ตามแบบ ป.๑ ข. โดยใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จเรียบร้อย ซึ่งปัจจุบันอาคาร
หลังนี้ชำรุดทรุดโทรมและรื้อถอนไปไม่ได้ใช้แล้ว  ต่อมาท่านก็ชักชวนชาวบ้านช่วยกันพัฒนาก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง สร้าง
หอฉันและศาลาการเปรียญสำเร็จ ด้วยเงินกว่า ๔ ล้านกว่า งานของท่านก็ได้บรรลุถึงความสำเร็จโดยเรียบร้อยทุกประการ

ด้วยผลงานดังกล่าว ในปี ๒๔๗๘ ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน ต่อมาในปี ๒๔๙๗ ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็น
พระครูชั้นสัญญาบัตร และในปี ๒๕๐๗ ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูภาวนาภิรัติ

ในครั้งแรกท่านไม่ใยดีกับยศตำแหน่งที่ทางการคณะสงฆ์ได้มอบให้ และถูกทางคณะสงฆ์เร่งรัดให้ท่านเดินทางไปรับพัดยศที่จังหวัด
 ซึ่งท่านก็ไม่ไปรับ จนกระทั่งชาวบ้านรู้ข่าว จำต้องพร้อมในกันจัดขบวนแห่ไปรับพัดยศและตราตั้งมาถวายให้กับท่านถึงวัด ท่านจึงต้อง
จำยอมรับอย่างเสียมิได้ โดยมีนายสาย แก้วสว่าง ในฐานะเป็นไวยาวัจกรและศิษย์ผู้ใกล้ชิด เป็นผู้นำคณะชาวบ้านไปรับพัดยศมาถวาย

หลวงปู่เป็นพระที่น่าเคารพและบูชาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมและวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมัก
น้อย สันโดษ ไม่ยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส ท่านฉันเช้าประมาณ ๗ โมงเช้าและน้ำชาก็เวลา ๔ โมงเย็น ถ้าเลยเวลาหลวงปู่ไม่ยอมฉัน
แม้แต่น้ำชา ท่านฉันข้าวมื้อเดียวมาประมาณ ๔๗ ปี และ เนื้อ หมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิด ท่านไม่ยอมฉัน มา ๔๗ ปีแล้ว แม้แต่น้ำปลาก็
ไม่ฉัน อาหารที่ท่านฉันเป็น ผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่นอย่างนี้อยู่เป็นนิจตลอดมา

 

 

หน้ากุฏิที่ท่านใช้รับแขกสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

มรณภาพ

ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ณ หน้าหอสวดมนต์ วัดละหารไร่ หลังจากที่ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล
สมเด็จ ณ ศรีราชา เป็นเวลา ๒๓ วัน คณะศิษย์ได้จัดพิธีศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดละหารไร่ หลังจากทำบุญ ๑๐๐ วัน อุทิศส่วนกุศลให้กับหลวงปู่ทิมแล้ว ได้เก็บศพ
ไว้ที่ศาลา ภาวนาภิรัต ศาลาการเปรียญ วัดละหารไร่ จนกระทั่งได้ทำการพระราชทานเพลิงศพท่านไปเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๖

 ประวัติความเป็นมา วัดละหารไร่

หมู่ที่ ๘ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

คัดลอกจาก http://ezthailand.com/Prakruang/PutimAll.html

วัดละหารไร่นี้ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๕๔ เกิดขึ้นโดยหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า รองเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ในสมัยนั้น เห็นว่าพื้นที่ทางฝั่งตรง
ด้านตรงข้ามทางด้านเหนือของวัดละหารใหญ่ มีทำเลดีเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผัก จึงได้เกณฑ์พวกลูกศิษย์ช่วยกันหักร้างถางพงใช้เป็นที่ปลูกพืชผัก
ไว้ขบฉันกินเป็นอาหาร ในฤดูแล้ง ในขั้นแรกได้ทำการสร้างที่พักร่มเงาเอาไว้ เมื่อถึงเลวเข้าพรรษาก็จำพรรษาที่วัดละหารใหญ่ ต่อมามีผู้คนได้ไปทำไร่
ในแถบใกล้ ๆ ที่นั้นมากขึ้น และเห็นว่ามีพระสงฆ์อยู่ เมื่อถึงวันพระก็จัดทำภัตตาหารไปถวายเป็นประจำ และต่อ ๆ มาได้มีพระภิกษุไปอยู่เพิ่มมากขึ้น ๆ
 จึงได้ก่อสร้างกุฏิวิหารขึ้น พระสงฆ์ก็จำพรรษาที่นั่นได้ แล้วตั้งชื่อว่าวัดละหารไร่ ตั้งแต่นั้นมา โดยมีหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ไปเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก  

 ด้วยเหตุว่า   การค้นคว้าหาประวัตินั้นลำบากมาก เพราะเป็นเวลาเกือบ ๒๐๐ ปีมาแล้ว จึงได้อาศัยการเล่าสืบต่อกันมาและหลักฐานบางประการที่พอจะสัน
นิษฐานได้เป็นเรื่องประกอบในขณะที่ก่อตั้งวัดละหารไร่แล้วนั้น หลวงพ่อสังฆ์เฒ่าก็เป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ จึงสันนิษฐานว่าเมื่อวัดละหารไร่มีภิกษุที่อาวุ
โสอยู่บ้างแล้ว หลวงพ่อสังฆ์เฒ่าจึงมอบให้ปกครองกันเอง ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นหลวงพ่อแดงเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ องค์ต่อมาจากหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า
ส่วนตัวท่านกลังไปเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ตามเดิม ต่อจากคุณพ่อเฒ่าจันทร์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ในสมัยนั้น เหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่มี
ใครทราบโดยละเอียด แต่มีหนังสือบางเล่มอ้างว่า หลังจากหลวงพ่อแดงแล้ว หลวงพ่อองค์ต่อ ๆ มาคือ หลวงพ่อเกิด หลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อจ๋วม เป็นลำดับ
หลังจากหลวงพ่อจ๋วมลาสิกขาไปแล้ว ทำให้วัดละหารไร่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลยเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาหลวงพ่อทิม งามศรี (ฉายา อิสริโก) ได้จำพรรษาอยู่
ณ วัดละหารไร่นี้เป็นต้นมา จึงได้เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่นั้นสืบมา

龙普添(歪头TIM) Luang phor Tim(Wat Lahanrai)
龙普添(歪头Tim)圣僧简介:
龙普添(歪头Tim)出生于佛历2422年六月十六号星期五,位于拉庸府。大师因家境贫寒而没有机会上学念书,
所以从小就帮忙父母耕田工作。
在大师十七岁那一年,龙普添的父亲将其送进寺庙跟随龙普星大师学习佛法,并在寺庙内居住长达一年的时间。
正是因为这段时间,使得大师开示喜欢接触佛教文化。但在一年后因家逢变故,龙普添毅然决然的离开寺庙寻找工作维持家计。
佛历2449年6月7日,也正是龙普添二十七岁那年,大师在拉罕来寺庙出家为僧,认证仪式由天玛寺庙的栲老师担任主席,
而龙普星大师则是证明龙普添大师顺利完成佛法学习的见证人。
龙普添在寺庙内待了三个月后边离开前往其他地方继续学习长达三年时间。龙普添大師行西哇里法戒,在森林里遇到一位白衣
的修行者,他跟隨加志阿曾学习白衣法门,使他的修為更上一层楼。兩年后龙普添大師继续他的西哇里修行,來到當時出名的
瓦劲真佛寺,跟隨他的远房亲戚,龙普送陶大師学习佛法。龙普送陶大师為當時有名的高僧之一。龙普送陶的法力高深,传说也
是无数。相传有一次,当龙普送陶大師為一批善信念经祈福,當念诵经文到一半時,突然觉得有一日痰嘎在喉里,便出力的把這
一口痰吐在洋灰地上。当这一口痰掉在地上時,地上馬上凹下一個洞,让在場的每一个善信看得目瞪口呆,一時传为佳話。
龙菩添大師住在瓦劲真佛寺一年,得到龙菩送陶大師的真传。

每当要进入守夏节时期,龙普添都会回到拉罕来寺庙。大师在修行的过程中会不断的去寻求高僧指点法术与学习佛法。之后大师
接受了拉罕来寺庙的主持,并通过自己的能力来整修整个的寺庙。因龙普添对于佛法有高深的研究,在佛历2478年兽僧王赐封
为帕古九级高僧;佛历2497年,大师被受封高阶老师的地位;佛历2507年12月5日,大师再次被僧王封为拉庸府最具有权威
的高僧,掌管拉庸府所有的寺庙。但是大师行事较为低调,尽管被皇室敕封,也没用大肆宣传。
龙普添大师一天只进食一次素餐,早上七点喝一次水,下午四点一次。如果超过四点,即使忘记喝也不会补喝。这样的饮食习惯大师
维持了长达五十年之久。大师的身体健康,很少有病痛缠身,而且不会有行动上的阻碍,眼睛也依旧清晰明亮。
龙普添享年九十六圆寂于佛历2518年10月16日,僧侣生涯六十九年,是泰国最受崇敬的一位大师。

龙普添大师所督造的圣物,也是泰国十大最受欢迎的圣物之一。他所督造的圣物当中以坤平、自身像、必达等最为出名,其次七龙佛
和塔固也相当多人喜好收藏佩戴。佩戴龙普添圣物,最显著的效果则是人缘,龙普添可是号称人缘至尊的大师。此外,也有许多佩戴
师傅的佛牌圣物,从危难中死里逃生的奇迹。所以,龙普添的圣物非常受到收藏家的偏好!